วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

บทที่ 13 การสร้างแบบจำลองข้อมูล

แบบจำลองข้อมูล (Data Modeling)
การสร้างแบบจำลองข้อมูลหรือแบบจำลองฐานข้อมูลจะเป็นขั้นตอนแรกของการออกแบบฐานข้อมูล

ที่ซึ่งจะมุ่งเน้นที่การกำหนดโครงสร้างของฐานข้อมูลที่ซึ่งจะใช้ในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลของผู้ใช้งานฐานข้อมูลในหลายๆครั้งการสร้างแบบจำลองฐานข้องมูลอาจหมายถึงการระบุถึงแบบจำลองข้อมูลสำหรับการกำหนดขอบเขตของปัญหา (problem domain) ที่เราจะพิจารณาแบบจำลองข้อมูลมักมีลักษณะเป็น แผนภาพที่ใช้แสดงโครงสร้างที่ซับซ้อนของฐานข้อมูลมีหน้าที่ในการช่วยให้ผู้ออกแบบฐานข้อมูลสามารถเข้าใจความซับซ้อนของข้อมูลที่ถูกใช้ในองค์กรต่างๆ นอกจากนั้น แบบจำลองข้อมูลมักจะแสดงถึงโครงสร้างของข้อมูลในฐานข้อมูลและคุณลักษณะของข้อมูลเหล่านั้น ข้อจำกัดต่างๆการเปลี่ยนแปลง/เปลี่ยนรูปข้อมูล และอื่นๆที่ซึ่งสามารถสนับสนุนการกำหนดขอบเขตของปัญหาการสร้างแบบจำลองฐานข้อมูลจะเป็นกระบวนการทำซ้ำแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยในตอนเริ่มต้นเราอาจเริ่มต้นจากความเข้าอย่างๆง่ายๆเกี่ยวกับขอบเขตปัญหาและสามารถทำการสร้างแบบจำลองฐานข้อมูลอย่างง่ายตามความเข้าใจที่มีแต่หลังจากทำการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้และการพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลและขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจต่างๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับของเขตของปัญหามากยิ่งขึ้นและจะช่วยให้เราสามารถเพิ่มเติมรายละเอียดของแบบจำลองฐานข้อมูลได้มากขึ้นในท้ายสุด เราจะได้ แบบจำลองฐานข้อมูลที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับพิมพ์เขียวที่บรรจุไปด้วยวิธีการในการสร้างฐานข้อมูลโดยพิมพ์เขียวที่ได้จะมีลักษณะเป็นแผนภาพที่จะประกอบไปด้วย
1) คำอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างของข้อมูลที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ
2) กฎที่เกี่ยวข้องกับการการันตีความสมบูรณ์ของข้อมูล (data integrity) และ
3) วิธีการในการจัดการข้อมูลที่ซึ่งจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง/เปลี่ยนรูปข้อมูล ตามลำดับ จากที่ได้กล่าวข้างต้นแบบจำลองข้อมูลทำหน้าที่เสมือนกับเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ออกแบบฐานข้อมูล

ผู้เขียนโปรแกรม และผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล ถ้าเรา สามารถสร้างแบบจำลองข้อมูลที่ดีแบบจำลองนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจและจะสามารถสะท้อนถึงโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับจัดเก็บข้อมูลตามแนวทางในการดำเนินธุรกิจ (หมายเหตุในการออกแบบฐานข้อมูล ผู้ออกแบบฐานข้อมูลควรที่จะต้องมีการตัดสินใจที่ดีที่ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างแบบจำลองฐานข้อมูลที่ดีได้การตัดสินใจที่ดีมักจะได้มาจากการทดลองและการประสบความล้มเหลว ดังนั้นถ้าเราต้องการที่จะมีการ ตัดสินใจที่ดีเราจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนเกี่ยวกับการออกแบบฐานข้อมูลบ่อยๆเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้นจากการออกแบบฐานข้อมูลในแต่ละครั้ง)
ลำดับชั้นข้อมูล(Data Hierarchy)




1. บิต (bit : binarydigit) เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูล
2. ไบต์ (byte) เป็นการรวมกลุ่มของบิตหลาย ๆ บิตเข้าด้วยกันเพื่อใช้แทนอักขระ 1ตัวเรียกว่า ไบต์ (byte) ซึ่งแทนหนึ่งตัวอักขระในการแทนรหัสข้อมูลด้วยเลขฐาน 2 เมื่อ n เป็นจำนวนบิตที่ใช้ในการแทนรหัสข้อมูล1 อักขระ เช่น รหัสเอบซีดิก(EBCDIC : Extended Binary Code DecimalInterchange Code) รหัสแอสกี(ASCII : American Standard Codefor Internation Interchange) ใช้ 8 บิตรวมเป็น 1ไบต์สามารถมีอักขระได้ 256 อักขระ เช่น ใช้รหัส 1100-0001 แทน 1A เป็นต้น
3. ฟิลด์ (filed) เป็นการนำอักขระหลาย ๆตัวรวมกันโดยมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเราจะเรียกว่า เขตข้อมูลหรือฟิลด์ (filed)เช่น การรวมของตัวอักษรและตัวเลขเพื่อใช้แทนรหัสลูกค้า เช่น ‘C0100001เป็นต้น
       ฟิลด์ คือกลุ่มของอักขระที่สัมพันธ์กันตั้งแต่ 1ตัวขึ้นไปที่นำมารวมกันแล้วแสดงลักษณะหรือความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งฟิลด์แต่ละฟิลด์ยังแยกออกเป็นประเภทข้อมูลซึ่งจะบ่งบอกว่าในเขตฟิลด์นั้นบรรจุข้อมูลประเภทใดไว้สามารถแยกประเภทของฟิลด์ได้เป็น 3 ประเภทคือ
        1. ฟิลด์ตัวเลข (numeric field) ประกอบด้วย อักขระที่เป็นตัวเลขซึ่งอาจเป็นเลขจำนวนเต็มหรือทศนิยมและอาจมีเครื่องหมายลบหรือบวก เช่นยอดคงเหลือในบัญชีเป็นกลุ่มของตัวเลข
        2. ฟิลด์ตัวอักษร (alphabetic field) ประกอบด้วยอักขระที่เป็นตัวอักษรหรือช่องว่าง (blank) เช่น

ชื่อลูกค้าเป็นกลุ่มของตัวอักษร
        3. ฟิลด์อักขระ (character field หรือ alphanumeric field)ประกอบด้วย อักขระซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ที่อยู่ของลูกค้า
        ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในฟิลด์

เป็นหน่วยย่อยของระเบียนที่บรรจุอยู่ในแฟ้มข้อมูล เช่นฟิลด์เลขรหัสประจำตัวบุคลากร ฟิลด์เงินเดือนของลูกจ้าง
หรือฟิลด์เลขหมายโทรศัพท์ของพนักงาน ตัวอย่าง เช็คของธนาคารแห่งหนึ่งประกอบด้วยชื่อที่อยู่ธนาคาร เช็คเลขที่ จ่ายจำนวนเงินเป็นตัวเลขจำนวนเงินเป็นตัวอักษรสาขาเลขที่ เลขที่บัญชี และลายเซ็นฟิลด์บางฟิลด์อาจจะประกอบด้วยข้อมูลหลายๆ ประเภทรวมกันในฟิลด์ เช่น ฟิลด์วันที่ประกอบด้วย 3 ฟิลด์ย่อย ๆ คือ วันที่ เดือน
และปี หรือในฟิลด์ชื่อธนาคาร ยังประกอบด้วยหลายฟิลด์ย่อย ๆ คือ ชื่อธนาคาร ที่อยู่เมือง ประเทศ และรหัสไปรษณีย์

4. เรคคอร์ด (record) หรือ ระเบียน คือ กลุ่มของฟิลด์ที่สัมพันธ์กันประกอบขึ้นมาจากข้อมูลพื้นฐานต่างประเภทกันรวมขึ้นมาเป็น 1 ระเบียนระเบียนจะประกอบด้วย ฟิลด์ ต่างประเภทกันอยู่รวมกันเป็นชุด เช่น

ระเบียนของเช็คแต่ละระเบียน จะประกอบด้วยฟิลด์ ชื่อธนาคาร เช็คเลขที่ วันที่สั่งจ่าย จำนวนเงิน สาขา เลขที่ เลขที่บัญชี ข้อมูลเช็คธนาคารประกอบด้วยฟิลด์ต่างๆ ระเบียนแต่ละระเบียนจะมีฟิลด์ที่ใช้อ้างอิงถึงข้อมูลในระเบียนนั้น ๆ อย่างน้อย 1ฟิลด์เสมอ ฟิลด์ที่ใช้อ้างอิงนี้เรียกว่าคีย์ฟิลด์ (key field) ในทุกระเบียนจะมีฟิลด์หนึ่งที่ถูกใช้เป็นคีย์ฟิลด์ ฟิลด์ที่ถูกใช้เป็นคีย์จะเป็นฟิลด์ที่มีค่าไม่ซ้ำกันในแต่ละระเบียน(unique) เพื่อสะดวกในการจัดเรียงระเบียนในแฟ้มข้อมูลและการจัดโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลเช่น ระเบียนของเช็คธนาคาร จะใช้เลขที่บัญชีเป็นคีย์ฟิลด์ระเบียนแฟ้มข้อมูลพนักงานใช้เลขประจำตัวพนักงานเป็นคีย์ฟิลด์
5. ฐานข้อมูล (database) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้โดยมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

โดยไม่ได้บังคับว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะต้องเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลเดียวกันหรือแยกเก็บหลายๆ แฟ้มข้อมูลนั่นก็คือการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลนั้นเราอาจจะเก็บทั้งฐานข้อมูลโดยใช้แฟ้มข้อมูลเพียงแฟ้มข้อมูลเดียวกันได้ หรือจะเก็บไว้ในหลาย ๆ แฟ้มข้อมูลที่สำคัญคือจะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างระเบียนและเรียกใช้ความสัมพันธ์นั้นได้มีการกำจัดความซ้ำซ้อนของข้อมูลออกและเก็บแฟ้มข้อมูลเหล่านี้ไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ร่วมกัน
ควบคุมดูแลรักษาเมื่อผู้ต้องการใช้งานและผู้มีสิทธิ์จะใช้ข้อมูลนั้นสามารถดึงข้อมูลที่ต้องการออกไปใช้ได้ข้อมูบางลส่วนอาจใช้ร่วมกับผู้อื่นได้แต่บางส่วนผู้มีสิทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้โดยทั่วไปองค์กรต่าง ๆ จะสร้างฐานข้อมูลไว้ เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของตัวองค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลในเชิงธุรกิจ เช่น ข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลของสินค้าข้อมูลของลูกจ้าง และการจ้างงาน เป็นต้น การควบคุมดูแลการใช้ฐานข้อมูลนั้น
เป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่าการใช้แฟ้มข้อมูลมากเพราะเราจะต้องตัดสินใจว่าโครงสร้างในการจัดเก็บข้อมูลควรจะเป็นเช่นไรการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างและเรียกใช้ข้อมูลจากโครงสร้างเหล่านี้ถ้าโปรแกรมเหล่านี้เกิดทำงานผิดพลาดขึ้นมาก็จะเกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของข้อมูลทั้งหมดได้เพื่อเป็นการลดภาวะการทำงานของผู้ใช้ จึงได้มีส่วนของฮาร์ดแวร์และโปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลในฐานข้อมูลนั้น เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือDBMS (data base management system) ระบบจัดการฐานข้อมูล คือซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล
หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ข้อมูลมาโดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล
เปรียบเสมือนเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล

6. ไฟล์ (file) หรือแฟ้มข้อมูล การประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศจะมีองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ แฟ้มข้อมูล ความหมายของแฟ้มข้อมูลหนึ่ง ๆนั้น มักจะเป็นเอกสารที่เป็นเรื่องเดียวกันและจัดเก็บรวบรวมไว้เป็นแฟ้มข้อมูลเพื่อสะดวกในการค้นหาข้อมูลเช่น แฟ้มข้อมูลประวัติพนักงานการเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปของเอกสารเพื่อประโยชน์ในการใช้งานถ้าข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มีจำนวนน้อยความยุ่งยากในการค้นหาหรือในการจัดเก็บก็จะไม่เกิดขึ้นแต่ถ้าข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มีจำนวนมากจะมีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องของการค้นหาข้อมูนนั้นและสิ้นเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลนั้นๆวิธีการแก้ปัญหาการจัดเก็บแฟ้มข้อมูลที่อยู่ในรูปของเอกสารเมื่อข้อมูลมีจำนวนมากขึ้นก็คือการนำข้อมูลเหล่านั้นเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บรวบรวมไว้เป็นแฟ้มข้อมูลเช่นเดียวกับการจัดเก็บเป็นเอกสารแต่จะเป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ เช่น แผ่นจานบันทึกแม่เหล็กหรือเทปแม่เหล็ก
ลักษณะของระบบแฟ้มข้อมูล
         1. ระเบียนขนาดคงที่ (fixed length record)โดยปกติแล้วภายในแฟ้มข้อมูลจะจัดเก็บระเบียนอยู่ในรูปแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะทุกระเบียนจะประกอบด้วยหน่วยข้อมูลย่อยที่เหมือน ๆ กัน นั่นคือโครงสร้างของทุกระเบียนในแฟ้มข้อมูลจะเป็นแบบเดียวกันหมด ถ้าขนาดของระเบียนมีจำนวนตัวอักขระเท่ากันหมดในทุก ๆระเบียนของแฟ้มข้อมูลระเบียนนั้นจะถูกเรียกว่าระเบียนขนาดคงที่ (fixed length record)
       2. ระเบียนที่มีความยาวแปรได้ (variable length record) คือทุกเรคคอร์ดอาจจะมีจำนวนฟิลด์ต่างกัน

และแต่ละฟิลด์ก็อาจจะมีความยาวต่างกันได้แฟ้มข้อมูลประเภทนี้มีลักษณะโครงสร้างแบบพิเศษที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถบอกได้ว่าแต่ละเรคคอร์ดมีความยาวเท่าใดและแต่ละฟิลด์เริ่มต้นตรงไหนและจบตรงไหนตัวอย่างของแฟ้มประเภทนี้ได้แก่แฟ้มบันทึกรายการใบสั่งซื้อสินค้า แต่ละเรคคอร์ดจะแทนใบสั่งสินค้าหนึ่งใบและใบสั่งสินค้าแต่ละใบอาจจะมีรายการสินค้าที่สั่งซื้อไม่เท่ากัน
การจัดการแฟ้มข้อมูล
1. การสร้างแฟ้มข้อมูล (file creating)คือ การสร้างแฟ้มข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการประมวลผลส่วนใหญ่จะสร้างจากเอกสารเบื้องต้น (source document) การสร้างแฟ้มข้อมูลจะต้องเริ่มจากการพิจารณากำหนดสื่ดอข้อมูลการออกแบบฟอร์มของระเบียนการกำหนดโครงสร้างการจัดเก็บแฟ้มข้อมูล (file organization) บนสื่ออุปกรณ์
2. การปรับปรุงรักษาแฟ้มข้อมูล แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
               1.การค้นคืนระเบียนในแฟ้มข้อมูล (retrieving) คือ การค้นหาข้อมูลที่ต้องการหรือเลือกข้อมูลบางระเบียนมาใช้เพื่องานใดงานหนึ่งการค้นหาระเบียนจะทำได้ ด้วยการเลือกคีย์ฟิลด์เป็นตัวกำหนดเพื่อที่จะนำไปค้นหาระเบียนที่ต้องการในแฟ้มข้อมูลซึ่งอาจจะมีการกำหนเงื่อนไขของการค้นหา เช่น ต้องการหาว่าพนักงานที่ชื่อสมชายมีอยู่กี่คน
              2. การปรับเปลี่ยนข้อมูล (updating) เมื่อมีแฟ้มข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการประมวลผลก็จำเป็นที่จะต้องทำหรือรักษาแฟ้มข้อมูลนั้นให้ทันสมัยอยู่เสมออาจจะต้องมีการเพิ่มบางระเบียนเข้าไป (adding) แก้ไขเปลี่ยนแปลงค่าฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่ง(changing) หรือลบบางระเบียนออกไป (deleting)
ประเภทของแฟ้มข้อมูล
        1. แฟ้มข้อมูลหลัก (master file)แฟ้มข้อมูลหลักเป็นแฟ้มข้อมูลที่บรรจุข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับระบบงานและเป็นข้อมูลหลักที่เก็บไว้ใช้ประโยชน์ข้อมูลเฉพาะเรื่องไม่มีรายการเปลี่ยนแปลงในช่วงปัจจุบัน

มีสภาพค่อนข้างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนไหวบ่อยแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการสิ้นสุดของข้อมูล
เป็นข้อมูลที่สำคัญที่เก็บไว้ใช้ประโยชน์ ตัวอย่าง เช่นแฟ้มข้อมูลหลักของนักศึกษาจะแสดงรายละเอียดของนักศึกษา ซึ่งมี ชื่อนามสกุล ที่อยู่ผลการศึกษา แฟ้มข้อมูลหลักของลูกค้าในแต่ละระเบียนของแฟ้มข้อมูลนี้จะแสดงรายละเอียดของลูกค้าเช่น ชื่อสกุล ที่อยู่ หรือ ประเภทของลูกค้า

       2. แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง (transaction file)แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงเป็นแฟ้มข้อมูลที่ประกอบด้วยระเบียนข้อมูลที่มีการเคลื่อนไหวซึ่งจะถูกรวบรวมเป็นแฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละงวดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้นแฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปปรับรายการในแฟ้มข้อมูลหลัก

ให้ได้ยอดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น แฟ้มข้อมูลลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา
        3. แฟ้มข้อมูลตาราง (table file)แฟ้มข้อมูลตารางเป็นแฟ้มข้อมูลที่มีค่าคงที่ซึ่งประกอบด้วยตารางที่เป็นข้อมูลหรือชุดของข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกันและถูกจัดให้อยู่รวมกันอย่างมีระเบียบโดยแฟ้มข้อมูลตารางนี้จะถูกใช้ในการประมวลผลกับแฟ้มข้อมูลอื่นเป็นประจำอยู่เสมอเช่น ตารางอัตราภาษี ตารางราคาสินค้าตัวอย่าง
        4. แฟ้มข้อมูลเรียงลำดับ (sort file) แฟ้มข้อมูลเรียงลำดับเป็นการจัดเรียงระเบียนที่จะบรรจุในแฟ้มข้อมูลนั้นใหม่โดยเรียงตามลำดับค่าของฟิลด์ข้อมูลหรือค่าของข้อมูลค่าใดค่าหนึ่งในระเบียนนั้นก็ได้เช่น จัดเรียงลำดับตาม วันเดือนปี ตามลำดับตัวอักขระเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยหรือจากน้อยไปหามากเป็นต้นแฟ้มข้อมูลรายงาน (report file) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกจัดเรียงระเบียบตามรูปแบบของรายงานที่ต้องการแล้วจัดเก็บไว้ในรูปของแฟ้มข้อมูลตัวอย่าง เช่นแฟ้มข้อมูลรายงานควบคุมการปรับเปลี่ยนข้อมูลที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานแต่ละวัน
การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล (fileorganization) เป็นการกำหนดวิธีการที่ระเบียนถูกจัดเก็บอยู่ในแฟ้มข้อมูลบนอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลซึ่งลักษณะโครงสร้างของระเบียนจะถูกจัดเก็บไว้เป็นระบบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลมีความสะดวกรวดเร็วการจัดโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลอาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ
         1. โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบลำดับ (sequential file) เป็นการจัดแฟ้มข้อมูซึ่งระเบียนภายในแฟ้มข้อมูลจะถูกบันทึกโดยเรียงตามลำดับคีย์ฟิลด์หรืออาจจะไม่เรียงลำดับตามคีย์ฟิลด์ก็ได้ ข้อมูลจะถูกบันทึกลงในสื่อบันทึกข้อมูลโดยจะถูกบันทึกไว้ในตำแหน่งที่อยู่ติดๆ กันการนำข้อมูลมาใช้ของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับจะต้องอ่านข้อมูลไปตามลำดับจะเข้าถึงข้อมูลโดยตรงไม่ได้ส่วนการจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับตามดัชนี เป็นการจัดข้อมูลแบ่งตามหมวดหมู่สรุปเป็นตารางซึ่งมีลักษณะคล้ายสารบาญของหนังสือการจัดข้อมูลแบบนี้ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย โดยตรงไปที่ตารางซึ่งเป็นดัชนีจะทำให้ทราบตำแหน่งของข้อมูลนั้น โดยไม่ต้องอ่านข้อมูลทีละระเบียนการจัดโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ แฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์นี้ข้อมูลจะถูกบันทึกโดยอาศัยกลไกการกำหนดตำแหน่งของข้อมูลซึ่งจะช่วยให้สามารถตรงไปถึงหรือบันทึกข้อมูลที่ต้องการได้โดยไม่ต้องอ่านหรือผ่านข้อมูลที่อยู่ในลำดับก่อนหน้าระเบียนที่ต้องการการดึงหรือการบันทึกข้อมูลจะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วในโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับประกอบด้วยระเบียนที่จัดเรียงไปตามลำดับอย่างต่อเนื่องเมื่อจัดสร้างแฟ้มข้อมูลโดยจะบันทึกระเบียนเรียงตามลำดับการบันทึกระเบียนจะถูกเขียนต่อเนื่องไปตามลำดับจากระเบียนที่1 ถึงระเบียน n และการอ่านระเบียนภายในแฟ้มข้อมูลก็ต้องใช้วิธีการอ่านแบบต่อเนื่องตามลำดับคือ

อ่านตั้งแต่ต้นแฟ้มข้อมูลไปยังท้ายแฟ้มข้อมูล โดยอ่านระเบียนที่ 1,2,3 และ 4มาก่อน ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการอ่านระเบียนที่ 8 ก็ต้องอ่านระเบียนลำดับที่1,2,3,4,5,6,7 ก่อน
         2.โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบลำดับตามดัชนี (indexsequential file) เป็นวิธีการเก็บข้อมูลโดยแต่ละระเบียนในแฟ้มข้อมูลจะมีค่าของคีย์ฟิลด์ที่ใช้เป็นตัวระบุระเบียนนั้นค่าคีย์ฟิลด์ของแต่ละระเบียนจะต้องไม่ซ้ำกับค่าคีย์ฟิลด์ในระบบอื่น ๆในแฟ้มข้อมูลเดียวกันเพราะการจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบนี้จะใช้คีย์ฟิลด์เป็นตัวเข้าถึงข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลหรือการอ่านระเบียนใด ๆ จะเข้าถึงได้อย่างสุ่มการจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลต้องบันทึกลงสื่อข้อมูลที่เข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เช่นจานแม่เหล็ก การสร้างแฟ้มข้อมูลประเภทนี้ไม่ว่าจะสร้างครั้งแรกหรือสร้างใหม่ข้อมูลแต่ละระเบียนต้องมีฟิลด์หนึ่งใช้เป็นคีย์ฟิลด์ของข้อมูลระบบปฏิบัติการจะนำคีย์ฟิลด์ของข้อมูลไปสร้างเป็นตารางดัชนีทำให้สามารถเข้าถึงระเบียนได้เร็วนอกจากจะเข้าถึงระเบียนใด ๆ ได้เร็วขึ้นแล้วยังมีประโยชน์สามารถเพิ่มระเบียนเข้าในส่วนใดๆ ของแฟ้มข้อมูลได้ในแต่ละแฟ้มข้อมูลที่ถูกบันทึกลงสื่อข้อมูลจะมีตารางดัชนีทำให้เข้าถึงระเบียนใด ๆได้รวดเร็วขึ้น
โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับตามดัชนีประกอบด้วย
          1. ดัชนี (index) ของแฟ้มข้อมูลจะเก็บค่าคีย์ฟิลด์ของข้อมูลและที่อยู่ในหน่วยความจำ (address) ที่ระเบียนนั้นถูกนำไปบันทึกไว้ซึ่งดัชนีนี้จะต้องเรียงลำดับจากน้อยไปมากหรือจากมากไปน้อยโดยที่ส่วนของดัชนีจะมีตัวบ่งชี้ไปยังที่อยู่ในหน่วยความจำเพื่อจะได้นำไปถึงระเบียนข้อมูลในข้อมูลหลัก
         2. ข้อมูลหลัก (data area) จะเก็บระเบียนข้อมูลซึ่งระเบียนนั้นอาจจะเรียงตามลำดับจากน้อยไปมากหรือจากมากไปน้อยในการจัดลำดับของข้อมูลหลักอาจจะจัดข้อมูลออกไปกลุ่ม ๆโดยจะเว้นที่ไว้เพื่อให้มีการปรับปรุงแฟ้มข้อมูลได้
         3. โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (relative file) เป็นโครงสร้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรืออ่านระเบียนใดๆ ได้โดยตรงวิธีนี้เป็นการจัดเรียงข้อมูลเข้าไปในแฟ้มข้อมูลโดยอาศัยฟิลด์ข้อมูลเป็นตัวกำหนดตำแหน่งของระเบียนนั้นๆโดยค่าของคีย์ฟิลด์ข้อมูลในแต่ละระเบียนของแฟ้มข้อมูลจะมีความสัมพัทธ์กับตำแหน่งที่ระเบียนนั้นถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยความจำค่าความสัมพัทธ์นี้ เป็นการกำหนดตำแหน่ง (mapping function) ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงคีย์ฟิลด์ของระเบียนให้เป็นตำแหน่งในหน่วยความจำโดยที่การจัดเรียงลำดับที่ของระเบียนไม่จำป็นต้องมีความสัมพันธ์กับการจัดลำดับที่ของระเบียนที่ถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยความการจัดเก็บข้อมูลลงแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (relative file) จะถูกจัดเก็บอยู่บนสื่อที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรงเช่น แผ่นจานแม่เหล็กลักษณะโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์จะประกอบด้วยตำแหน่งในหน่วยความจำซึ่งเกิดจากนำคีย์ฟิลด์ของระเบียนมาทำการกำหนดตำแหน่ง ซึ่งการกำหนดตำแหน่งนี้จะทำการปรับเปลี่ยนค่าคีย์ฟิลด์ขอระเบียนให้เป็นตำแหน่งในหน่วยความจำที่คำนวณได้แฟ้มข้อมูลหลักแฟ้มข้อมูลนี้ประกอบด้วยระเบียนที่จัดเรียงตามตำแหน่งในหน่วยความจำโดยจะเรียงจากระเบียนที่1 จนถึง N แต่จะไม่เรียงลำดับตามค่าของคีย์ฟิลด์
โครงสร้างบันทึกและบันทึกคีย์
เขตข้อมูลเฉพาะในแต่ละระเบียนของคอมพิวเตอร์ ไฟล์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบันทึกRecord Keys เป็นตัวระบุสำหรับบันทึก: คีย์หลักไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละระเบียน

ปุ่มรองคือ
      - ตัวระบุเฉพาะสำหรับบันทึกและ
      - ใช้สำหรับค้นหาไฟล์เพื่อหาข้อมูลเฉพาะคีย์ต่างประเทศเปิดใช้งานบันทึกฐานข้อมูล อ้างอิงหนึ่งรายการขึ้นไปในไฟล์อื่น
การบริหารและเอกสาร(Administration and Documentation)
         การบริหาร หมายถึง (Administration) เป็นการลงมือกระทำหลังจากวางหลักการบริหารแล้วในขั้นตอนนี้ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อที่จะนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งบุคลากร วัสดุ งบประการ มาจัดการตามหลักการที่วางไว้โดยมีกระบวนการที่ชัดเจนเพื่อทำให้เกิดความสำเร็จเป็นรูปธรรมตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้มีคำสำคัญที่คล้ายกันอยู่2 คำคือ หลักการบริหาร และ การบริหาร ซึ่งมีความต่อเนื่องกัน คือหลักการบริหารนั้นว่าด้วยแนวคิดที่เป็นหลักการว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จแต่การบริหารเป็นการนำหลักการที่วางไว้มาลงมือทำหัวใจของการบริหารที่เด่นๆ คือผู้บริหารไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติ แต่เป็นผู้ใช้ศิลปะทำให้ผู้ปฏิบัติทำงานจนสำเร็จตามจุดมุ่งหมายตามการคิดและตัดสิใจของผู้บริหารการบริหาร (Administration) นั้นต่างจากการจัดการ (Management)อยู่เล็กน้อยตรงที่การบริหารสนใจและสัมพันธ์เกี่ยวกับนโยบายในทางปฏิบัติส่วนการจัดการมุ่งไปที่ทำอย่างไรให้ปฏิบัติการบริหารจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือวัตถุประสงค์บุคคล ทรัพยากร กระบวนการ

การบริหารต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของบุคลากรอย่างเต็มใจจึงจะนำไปสู่กลุ่มที่มีพลังในการขับเคลื่อนงานไปสู่ความสำเร็จทั้งที่ต้องอาศัยทักษะของผู้บริหารที่จะปลุกและกระตุ้นให้กลุ่มมีพลังตามที่ต้องการการบริหารแม้ไม่มีตัวตนแต่ทรงอิทธิพลปรากฏผลที่จับต้องได้แสดงให้เห็นถึงทักษะและความสามารถของผู้บริหารที่สามารถประเมินคุณภาพได้จากผลงาน
แนวทางการประเมินผู้บริหารนั้นสามารถพิจารณาผ่าน 3 ทางได้แก่
          1.โครงสร้างให้ดูที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นตอนของสายงาน

ตามการจัดองค์การ
          2.หน้าที่ผู้บริหารที่ดีสามารถระบุหน้าที่ บทบาทความรับผิดชอบตลอดจนสนับสนุนทรัพยากรให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้ดี
         3.ทางปฏิบัติผู้บริหารที่ดีทำให้ผู้ปฏิบัติงานพร้อมและเต็มใจทำงานอย่างเต็มความสามารถ
        เอกสาร (Documentation)คือ เอกสารที่เขียนอธิบายขั้นตอนเกี่ยวกับการใช้ชุดคำสั่งหรือรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลงานหนึ่ง ๆ โดยปกติชุดคำสั่งทุกชุดควรมีเอกสารประกอบ เพื่อสะดวกในการนำมาใช้ใหม่ภายหลัง
ความเห็นสำรองและรักษาความปลอดภัย(Concurrency Backup and Security)
การควบคุมภาวะพร้อมกันเป็นสิ่งจำเป็น     
-ป้องกันการเข้าถึงไฟล์เดียวกันของผู้ใช้หลายคน
         -ทำธุรกรรมตามลำดับ
ข้อมูลในฐานข้อมูลการบัญชีจำนวนมากจะต้องได้รับการคุ้มครอง
          -ถูกจัดเก็บโดยขั้นตอนการสำรองข้อมูลเพื่อดึง
          -ได้รับการปกป้องจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยการใช้รหัสผ่านเทคนิคการเข้ารหัส
ขั้นตอนในการสร้างฐานข้อมูลREA (Steps in Creating Databases with REA)
บันทึกระบบบัญชีตามเหตุการณ์ (EBA) คือ กิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงREA เป็นเครื่องมือสำหรับการออกแบบฐานข้อมูลAlS รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร
        - ทรัพยากรเหตุการณ์และตัวแทน (REA)
        - ทรัพยากรเป็นทรัพย์สินขององค์กร
        - กิจกรรมเป็นกิจกรรมที่ระบุตัวตนได้
        - กระบวนการทางธุรกิจ
        -ตัวแทนคือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกิจกรรม
ระบุเหตุการณ์และหน่วยงาน(Identify Events and Entities)
กระบวนการทางธุรกิจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สองประเภท:กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่
       - ส่งผลกระทบต่องบการเงินขององค์กรกิจกรรมทางธุรกิจที่
       -ส่งผลกระทบต่อองค์กรด้วยวิธีการเพิ่มมูลค่าEntity-RelationshipModel (E-R Model)
      E-R Model เป็นโมเดลที่ใช้ในการออกแบบฐานข้อมูลในระดับ conceptual ประกอบด้วยชุดของ object (Entity)และความสัมพันธ์ (relationship) ระหว่าง object E-R diagram สร้างขึ้นเพื่อสื่อความหมายของข้อมูลในระบบและแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กันของข้อมูล

Entity &Entity Set
      Entity คือ"สิ่งๆหนึ่ง" หรือ object ที่มีอยู่ ซึ่งแต่ละ objectก็แตกต่างกันไป
      Entity Set คือ กลุ่มของ entityหรือ object ที่เป็น "ชนิดเดียวกัน"คือมีคุณสมบัติร่วมกันบางประการ เช่น นักศึกษาแต่ละคน ถือเป็น entity , กลุ่มของนักศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถือเป็นหนึ่ง Entity Set ของนักศึกษา ซึ่งต่างจาก Entity Set ของ"วิชา" ซึ่งเก็บรวบรวม รายวิชาต่างๆ เป็นต้น
Properties orAttributes of an Entity
      Entity หนึ่งๆประกอบด้วยคุณสมบัติ หรือ ลักษณะที่ต่างกันไป ข้อมูลที่แสดงถึงคุณลักษณะของ Entity เรียกว่าAttribute เช่น ข้อมูลนักศึกษาคนหนึ่งประกอบไปด้วย ชื่อ, รหัส, คณะ, วันเกิด, เพศ, ส่วนสูง,

น้ำหนัก, ฯลฯ
ตัวอย่าง ข้อมูลของนักศึกษา ( Student )
โครงสร้างของ Student ประกอบด้วย attribute Student_Code, Student_Name, Faculty,

Birthdate

ชนิดของ Attribute
Simple attribute คือ attribute ที่ประกอบด้วยค่าข้อมูลเดียว ซึ่งต่างจาก Composite attribute ที่ประกอบด้วยข้อมูลย่อยเช่น ข้อมูล Name ประกอบด้วย first name, middlename, lastname , address ประกอบด้วย เลขที่, ถนน,ตำบล, อำเภอ, จังหวัด,รหัสไปรษณีย์ เป็นต้น ส่วนข้อมูล เช่น เพศ, อายุ, ส่วนสูง, น้ำหนัก ถือเป็น simple attribute เพราะประกอบด้วยค่าข้อมูลเดียว
Single-valued Attribute คือ attribute ที่ entity หนึ่งๆ มีการเก็บค่าได้เพียงค่าเดียว เช่น ชื่อ, วันเกิด, รหัสประจำตัวแต่ละคนก็มีค่าข้อมูลเหล่านี้เพียงค่าเดียว แต่ Multivalued attribute คือ attribute ที่มีค่าได้มากกว่าหนึ่ง เช่น ข้อมูลของโรงเรียนที่นักศึกษาเรียนจบมา บางคนอาจเรียนมาจากหลายโรงเรียน (เช่น
ระดับ ประถม เรียนโรงเรียนหนึ่ง, ม.ต้นเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง, ม.ปลายได้เรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง) ,ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ ของบุคคล บางคนอาจมีเบอร์โทรติดต่อได้มากกว่าหนึ่งหมายเลข เป็นต้น
Derived attribute คือ คุณสมบัติของ Entity ที่เป็นค่าข้อมูลที่สามารถได้มาจากข้อมูลอื่น เช่น รายได้รวมของ salesman ได้จากการรวมเงินเดือนและค่านายหน้า (commission) ที่ได้จากยอดขายที่ทำได้ในแต่ละเดือน เป็นต้น
Relationship และ Relationship set
Relationship คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง Entity
Relationship Set คือ ชุดของ Relationship ชนิดเดียวกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง Entity Setเช่น Relationship นักศึกษา Jim Jackson เข้าเรียนในวิชา Math 2, นักศึกษา John Harris เข้าเรียนในวิชา Physics 1 เป็น relationship และ Relationship set คือ ความสัมพันธ์ "การเข้าเรียน" (Attend) ระหว่าง นักศึกษา กับ วิชาเรียน (course)
หมายเหตุ โดยทั่วไปมักกล่าวถึง Entity หมายรวมถึง Entity Set กับ Relationship หมายถึง Relationship set ด้วย
รูปแบบความสัมพันธ์ ระหว่าง Entity Set
การแบ่งประเภทของ relationshipโดยใช้ Mapping Cardinality คือจำนวนการจับคู่กันในความสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1. One-to-One คือ ความสัมพันธ์ 1 ต่อ 1 นั่นคือในความสัมพันธ์จาก Entity Set A ไปยัง B สมาชิกของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ตัวเดียวเท่านั้น และ B หนึ่งตัวจับคู่กับ A เพียงตัวเดียว เช่น สมมติการมีบัญชีเงินฝากของธนาคารแห่งหนึ่งกำหนดให้ลูกค้ามีบัญชีได้เพียง 1 เดียวและหนึ่งบัญชีมีเจ้าของเพียงคนเดียว ความสัมพันธ์ " การเป็นเจ้าของบัญชี" นี้ จัดเป็นแบบ 1-to-1
                 

2. One-to-Many คือ ความสัมพันธ์ 1 ต่อ หลาย นั่นคือ ในความสัมพันธ์จาก Entity Set A ไปยัง B สมาชิกของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ได้มากกว่าหนึ่ง แต่ B หนึ่งตัวจับคู่กับ A เพียงตัวเดียวเท่านั้น เช่น หากธนาคารกำหนดให้ลูกค้า (Entity A) หนึ่งคนเปิดบัญชี ได้มากกว่าหนึ่ง แต่ บัญชีหนึ่งๆ มีเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว ความสัมพันธ์ " การเป็นเจ้าของบัญชี " นี้ จัดเป็นแบบ 1-to-M

3. Many-to-One คือ ความสัมพันธ์ หลายต่อ 1 นั่นคือ ในความสัมพันธ์จาก Entity Set A ไปยัง B สมาชิกของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ได้ตัวเดียว แต่อาจซ้ำกันได้ คือ B ตัวเดียวกัน จะจับคู่กับ A ได้มากกว่าหนึ่ง เช่น ในความสัมพันธ์ การเป็นแม่ลูก แม่(Entity B) คนหนึ่งอาจมีลูกได้หลายคน แต่ลูก (Entity A) แต่ละคน มีแม่เพียงหนึ่งเดียว ซึ่ง ลูกหลายคนอาจมีแม่คนเดียวกันได้ ความสัมพันธ์นี้ จัดเป็น M-to-1


4. Many-to-Many คือ ความสัมพันธ์ หลายต่อหลาย นั่นคือ ในความสัมพันธ์จาก Entity Set A ไปยัง B สมาชิกของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ได้มากกว่าหนึ่ง และ B ก็จับคู่กับ A ได้มากกว่าหนึ่ง เช่นกัน เช่น การลงทะเบียนเรียน ในเทอมหนึ่งๆ นักศึกคนหนึ่งสามารถลงเรียนได้ มากกว่าหนึ่งวิชา (course) และ แต่ละ course ก็มีนักศึกษามาเข้าเรียนมากกว่าหนึ่งคน

ความสำคัญของการประมวลผลแบบระบบฐานข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลรวมเป็นฐานข้อมูลจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยกันหลายประการ พอสรุปได้ดังนี้
1. สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้
2. หลักเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้
3. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
4. สามารถรักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
5. สามารถกำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันของข้อมูลได้
6. สามารถกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้
7. เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล
Key , Super key, Candiante key, Primary Key
ใน Entity set แต่ละ entity ย่อมแตกต่างกัน สิ่งที่ระบุได้ถึง Entity ที่แตกต่างกันแต่ละตัว ใน Entity set เรียกว่า Key
Super key คือ attribute หรือ กลุ่มของ attribute (attribute set ) ที่สามารถระบุถึง entity ที่แต่ละตัวได้ เช่น ชื่อ-สกุล และที่อยู่ของ นักศึกษา เป็น super key เพราะ สามารถบ่งชี้ถึง นักศึกษาทุกคนที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด
Candidate key คือ attribute หรือ attribute set ที่เป็น minimal นั่นคือ ไม่มี subset ของ key นี้ ที่มีคุณสมบัติเป็น key อีก หรือ หากมีการเอา attribute หนึ่งใด ออกไปก็จะไม่ใช่ key เช่น รหัสนักศึกษา (นศ. ทุกคนมีรหัสเพียงรหัสเดียว ที่แตกต่างกัน) เป็น candidate key , แต่ รหัสนักศึกษากับชื่อ หรือ รหัสนักศึกษา, อายุ, เพศ และคณะ ไม่ใช่ candidate key เพราะไม่ minimal เพราะเพียงแค่ รหัสนักศึกษา อย่างเดียว ก็เป็น key ได้แล้ว
Primary key คือ candidate key ตัวหนึ่ง ที่ถูกเลือกให้เป็น key ที่ใช้อ้างอิงถึงแต่ละ entity ใน entity set เช่น อาจเลือก รหัสนักศึกษาเป็น Primary key สำหรับ entity set นักศึกษา ได้
ข้อสังเกต :
- ทุก attribute ของ Entity รวมกัน จัดเป็น super key เสมอ เพราะไม่มี entity ใด ที่มีข้อมูลซ้ำกันหมด
- key ที่ประกอบด้วย attribute เพียงหนึ่งเดียว จัดเป็น candidate เสมอ (minimal แล้ว)
- ทุก Candidate key จัดเป็น Super key แต่ มี Super key บางตัวที่ไม่ใช่ candidate key ( Candidate key Í Super key )
Entity - Relationship Diagram ( E-R Diagram )
ขั้นตอนการสร้าง E-R diagram
1. จากการวิเคราะห์ ข้อมูลในระบบ ค้นหา Entity ทั้งหมด
2. ระบุ Attribute ของ Entity และ Primary key
3. ระบุความสัมพันธ์ ระหว่าง Entity
ตัวอย่าง E-R Diagram แสดงข้อมูลของพนักงาน (EMPLOYEE) และ หน่วยงานหรือแผนก (Department) ในองค์กรแห่งหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น